top of page

📂 แชร์ไฟล์ ≠ แชร์ความรู้

  • Writer: Apinun Ruddist
    Apinun Ruddist
  • Jul 25
  • 1 min read
ถ้าองค์กรของคุณยังใช้ Google Drive เหมือนคลังเก็บของ… บทความนี้ห้ามพลาด !!
ถ้าองค์กรของคุณยังใช้ Google Drive เหมือนคลังเก็บของ… บทความนี้ห้ามพลาด !!

   ปัญหาที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ ❗

  • แชร์ไฟล์กันในไดรฟ์ แต่ไม่มีใครรู้ว่า “ไฟล์นี้เอาไว้ทำอะไร”

  • พนักงานใหม่ต้องนั่งไถหาเอกสารเอง ไม่มีใครอธิบาย Context

  • เอกสารสำคัญ เช่น SOP, Guideline, Brief ดีไซน์สวย แต่อ่านไม่รู้เรื่อง

  • คนเก่งลาออกไป ความรู้ก็หายไปด้วย 

  • แชร์ซ้ำ แชร์ซ้อน แชร์วนไปมาในกลุ่มไลน์ ไม่รู้ว่าเวอร์ชันล่าสุดคืออันไหน


สุดท้าย “ความรู้” ที่ควรจะเป็นทุนขององค์กร กลับกลายเป็น “ของหายาก” ที่อยู่ในหัวใครบางคน หรือกระจัดกระจายอยู่ในโฟลเดอร์ที่ไม่มีใครเข้า

🧠 แล้ว "ความรู้" ที่ดีในองค์กรควรเป็นแบบไหน?

"Knowledge" ≠ "File"

ความรู้ = ข้อมูล + บริบท + ความเข้าใจ  ไม่ใช่แค่โยนไฟล์ให้แล้วจบ แต่องค์กรต้องออกแบบ "ประสบการณ์การถ่ายทอดความรู้" ให้คนในเข้าถึงและต่อยอดได้ 


1. 🧭 Context – ความรู้ต้องมีบริบท

ความรู้ที่ไม่มีบริบท = อ่านแล้วก็ยังไม่รู้จะใช้อย่างไร เพราะฉนั้นทุกไฟล์หรือเนื้อหาควรมีคำอธิบายประกอบ เช่น:

  • ใช้เมื่อไหร่?

  • ใช้กับใคร?

  • ข้อควรระวังคืออะไร?

  • ใครเป็นเจ้าของความรู้นี้ ?


✅ ตัวอย่าง:

ไฟล์ SOP การเปิดบัญชีลูกค้า → มีคำอธิบายว่า “ใช้สำหรับพนักงานฝ่ายขายขั้นต้น ในขั้นตอน Onboarding ลูกค้า B2B เท่านั้น”


2. 🗂️ Structure – โครงสร้างต้องค้นง่าย เข้าใจง่าย

ถ้าหาไม่เจอ แปลว่าไม่มีอยู่จริงในมุมมองของผู้ใช้

  • จัดหมวดหมู่ตามฟังก์ชัน, กระบวนการ, หรือกลุ่มผู้ใช้งาน

  • ใช้ชื่อไฟล์ที่มีมาตรฐาน (Naming Convention)

  • มีหน้า Dashboard หรือ Map ให้รู้ว่า “ความรู้อยู่ตรงไหนบ้าง”


✅ ตัวอย่าง: โฟลเดอร์ Training → แยกตามแผนก → แยกตามระดับพนักงาน → มีป้ายกำกับว่า “ใหม่ล่าสุด” / “ปรับปรุงแล้ว”


3. 🔄 Access & Versioning – ต้องรู้ว่าอะไรใหม่ ใครอัปเดต

ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการโหลดไฟล์ผิดเวอร์ชัน แล้วส่งงานผิด !!

  • ทุกเอกสารต้องมีการจัดการเวอร์ชันอย่างเป็นระบบ

  • ใครเป็นผู้รับผิดชอบเอกสารนี้? (Knowledge Owner)

  • มีการแจ้งเตือนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา


✅ ตัวอย่าง: ใช้ Google Docs/Sheets ร่วมกับ Version History หรือ Wiki ที่มีการ Track ผู้เขียน/ผู้ปรับปรุงล่าสุด


4. 📣 Engagement – ความรู้ต้องถูกเรียกใช้ ไม่ใช่แค่เก็บไว้

ความรู้ที่ไม่มีใครใช้ ก็เท่ากับไม่มีคุณค่า

  • สร้างวัฒนธรรมให้คน “ดึงความรู้มาใช้” และ “ส่งต่อให้คนอื่น”

  • มีพื้นที่ให้แชร์ Tip, ตัวอย่างใช้งานจริง หรือ Feedback ต่อเนื้อหา

  • สนับสนุนการ “รีวิวความรู้” หรือ “แชร์บทเรียนจากความผิดพลาด”


✅ ตัวอย่าง: โพสต์ “เคล็ดลับการขายใน TikTok ที่ได้ผลจริง” จากพนักงานตัวจริง หรือกิจกรรม Show & Share ประจำเดือน


5. 🔁 Continuity – ความรู้ต้องต่อยอดและปรับปรุงได้เสมอ

ความรู้ดีๆ ต้องไม่หยุดอยู่แค่เวอร์ชันแรก

  • พัฒนา Content ให้หลากหลาย: วิดีโอ, Infographic, Microlearning

  • มีระบบฟังเสียงผู้ใช้งาน เช่น ฟอร์มแนะนำ/เสนอปรับปรุง

  • เชื่อมโยงระหว่างความรู้เก่าและใหม่ (Cross-link knowledge)


✅ ตัวอย่าง: คู่มือขั้นตอนการทำงานแบบ PDF → แปลงบางส่วนเป็นคลิป 2 นาที พร้อม Quiz ให้เรียนรู้แบบ On-demand

🛠️ SETech ช่วยให้องค์กรของคุณ แชร์ “ความรู้” ได้จริง ไม่ใช่แค่ไฟล์

📌 SETech ช่วยองค์กรของคุณจัดการระบบความรู้แบบครบวงจร📌 ปรับวิธีคิด – ปรับเครื่องมือ – และปรับวิธีเล่าเรื่อง ให้เข้าใจง่ายและใช้งานได้จริง


ออกแบบระบบ Knowledge Sharing & Knowledge Retention

  • วางระบบถ่ายทอดความรู้ให้คนใหม่เข้าใจง่าย

  • ปรับเอกสารเดิมให้เข้าใจง่ายขึ้น พร้อมคำอธิบาย


พัฒนา Learning Content แบบ Microlearning

  • เปลี่ยน SOP หรือ Guideline สำคัญ เป็นคลิปสั้น อินโฟกราฟิก หรือ Slide ที่พนักงานอยากดู

  • ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ทันสมัย และสื่อสารในช่องทางที่คนในองค์กรเข้าถึงประจำ เช่น LINE, Learning Platform


สร้าง Culture การแบ่งปันและต่อยอด

  • สร้างกิจกรรม Show & Share หรือ Gamification

  • ให้ความรู้ไม่ใช่ภาระ แต่เป็น "สิ่งที่คนอยากแบ่งปัน"


📣 ถึงเวลา “เลิกแชร์แค่ไฟล์” แล้วเริ่ม “แชร์ความรู้” อย่างแท้จริง !



 
 
 

Comments


bottom of page